study_rp

Central limit Theorem (CLT)

จากความเข้าใจเรื่อง Normal Distribution เราจะเข้าใจถึงคอนเซ็ป Central Limited Theorem (CLT) นั่นก็คือ

ไม่ว่าข้อมูลจากกลุ่มประชากรจะเป็นเช่นใด เมื่อมีข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างมากพอ โค้งของข้อมูลจะเข้าสู่ศูนย์กลาง หรือที่เรียกว่า Normal Distribution ซึ่ง Concept ดังกล่าวนี้ คุณ Abraham de Moivre (1733) เป็นผู้เสนอไว้ และถูกนำมาเป็นทฤษฎีหลักของนักสถิติกลุ่มความน่าจะเป็น อย่างคุณ George Polya ที่บรรญัติให้มีชื่อว่า Central Limited Theorem (CLT)

แล้ว CLT เกี่ยวอะไรกับค่าเฉลี่ย (mean)

ก่อนอื่นเลย เราต้องเข้าใจที่มาที่ไปของโค้งปกติ (bell curve) เราจะมาสร้าง data เล่นกันค่า

bell_curve <-  c(1.1, 1.5,
                 2.1, 2.3, 2.4, 2.7, 
                 3.1, 3.3, 3.5, 3.5, 3.5, 3.9,
                 4.1, 4.3, 4.5, 4.6,
                 5.1, 5.9)

left_skewed <- c(1.1, 1.3, 1.5, 1.5, 1.5, 1.9,
                 2.1, 2.3, 2.5, 2.7, 2.9,
                 3.1, 3.5, 3.7,
                 4.1, 4.5,
                 5.1, 5.9)

right_skewed <- c(1.1, 1.9,
                  2.1, 2.5,
                  3.1, 3.3, 3.3,
                  4.1, 4.3, 4.5, 4.8, 4.9,
                  5.1, 5.3, 5.5, 5.5, 5.5, 5.9)

    curved <- data.frame(bell_curve, left_skewed, right_skewed)

Note แมวทำไว้ให้สนุก ๆ ในความเป็นจริงลูกแมวสามารถที่จะพิมพ์เรียงติดกันเลยได้นะคะ

คำนวณค่า Mean Median และ Mode

Bell Curve
# หาค่ากลาง
#ขอตัวช่วยจาก package
#install.packages("modeest")
library(modeest)

mean(bell_curve)

    ## [1] 3.411111

median(bell_curve)

    ## [1] 3.5

mlv(bell_curve, method = "mfv")

    ## [1] 3.5
Left Skewed
mean(left_skewed)

    ## [1] 2.844444

median(left_skewed)

    ## [1] 2.6

mlv(left_skewed, method = "mfv")

    ## [1] 1.5
Right Skewed
    mean(right_skewed)

    ## [1] 4.038889

    median(right_skewed)

    ## [1] 4.4

    mlv(right_skewed, method = "mfv")

    ## [1] 5.5

พอได้ค่าทางสถิติแล้วเราจะมา plot density graph กัน

library(ggplot2)
bell_curve <- ggplot(curved, aes(x = bell_curve)) +
                      geom_density(fill = "gray", alpha = 0.5) +
                      geom_vline(xintercept = 3.41111, color = "red") +
                      geom_vline(xintercept = 3.5, color = "blue") +
                      geom_vline(xintercept = 3.5, color = "pink") +
                      theme_classic()

left_skewed <- ggplot(curved, aes(x = left_skewed)) +
                      geom_density(fill = "gray", alpha = 0.5) +
                      geom_vline(xintercept = 2.84444, color = "red") +
                      geom_vline(xintercept = 2.6, color = "blue") +
                      geom_vline(xintercept = 1.5, color = "pink") +
                      theme_classic()

right_skewed <- ggplot(curved, aes(x = left_skewed)) +
                      geom_density(fill = "gray", alpha = 0.5) +
                      geom_vline(xintercept = 4.038889, color = "red") +
                      geom_vline(xintercept = 4.4, color = "blue") +
                      geom_vline(xintercept = 5.5, color = "pink") +
                      theme_classic()

โชว์กราฟใช้คำสั่ง gridextra::grid.arrange()

    gridExtra::grid.arrange(bell_curve, left_skewed, right_skewed)

Note that, Red = Mean, Blue = Median, Pink = mode

ในการเปรียบเทียบข้อมูลทั้งสามข้อมูลจะพบว่า bell curve จะมีค่ากลางอยู่ใกล้กันมากที่สุด

กราฟ Bell curve ขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 อย่าง คือ 1. โอกาสที่จะเกิด bell curve และ 2. ค่าความคลาดเคลื่อนของข้อมูล (SD) จากที่เราเห็นกราฟ เราพอจะอนุมานได้ว่า การใช้ค่า mean ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่มีลักษณะเป็น bell curve จะเหมาะสมที่สุด (อิงอยู่บน CLT)

ดังนั้น สถิติอ้างอิง หรือ referential statistics จึงใช้ค่า Mean ในการวิเคราะห์ผล


อ่านเพิ่มเติมได้ใน Howell, D. C. (2012). Statistical methods for psychology. Cengage Learning.